
“พระมหากษัตริย์กับความเป็นไทย” บทสรุปความคิดของอาจารย์เอนก เหล่าธรรมทัศน์ ในวัยแห่งวุฒิภาวะ
ณัตถยา สุขสงวน
หนังสือ เรื่อง “พระมหากษัตริย์กับความเป็นไทย” เป็นหนังสือทางวิชาการเล่มล่าสุดที่อาจารย์เอนกผ่านการบ่มเพาะทางความคิดมาหลายปีและได้เผยแพร่สู่สาธารณะเมื่อไม่กี่วันมานี้ ด้วยเนื้อหาที่นำเสนอเพื่อเปิดมุมมองใหม่และโลกทัศน์ใหม่ที่จะนำไปสู่การกระตุ้นความคิดให้กับผู้อ่านทั่วไปในสังคมได้กลับมาหวนคำนึงถึงข้อเท็จจริงทางบทบาทและความสำคัญของสถาบันหลักของชาติอย่างสถาบันพระมหากษัตริย์จากอดีตจนถึงปัจจุบัน ตลอดจนความเป็นไทยที่มีเอกลักษณ์และความเป็นพิเศษอันน่าภาคภูมิใจมายาวนานเกือบ ๑,๐๐๐ ปี แต่กลับถูกละเลยมานานมากเกินไป ทั้งนี้ เพื่อปรับกระบวนทัศน์และสร้างวิธีคิดใหม่ในการนำพานาวาประเทศไปข้างหน้าของคนไทยได้ดียิ่งขึ้น โดยให้ผสมผสานกับแนวคิดและองค์ความรู้ในการพัฒนาประเทศอันเป็นกระแสหลักที่พัดอยู่ในสังคมอย่างพอเหมาะพอดี นอกจากนั้น ยังทำให้คนไทยหวนกลับมามองตัวเอง รู้จักตัวเองว่าเราเป็นใคร ระลึกถึงรากฐานทางประวัติศาสตร์ของตน อันเป็นพื้นฐานในการก้าวไปข้างหน้าอย่างมั่นคง ไม่หลงมัวเมากับแนวคิดตะวันตกหรือสิ่งที่มองว่าเป็นสากลและเห็นว่าพึ่งกระทำในการพัฒนาประเทศ นำประเทศเดินไปข้างหน้า โดยละเลยและตัดขาดจากรากเหง้าความเป็นไทยของตนเองจนเกินไป
หนังสือเล่มนี้ได้นำเสนอมุมมองต่อสังคมอย่างมีเหตุผล บนพื้นทางข้อมูล ข้อเท็จจริง หลักฐานและองค์ความรู้ในมิติทางประวัติศาสตร์ (Fact) อย่างหนักแน่นมารองรับ โดยได้สร้างข้อสรุปรวบยอดไว้เพื่อให้ผู้อ่านทำความเข้าใจได้โดยง่ายและรวดเร็ว หาใช่หนังสือที่เป็นการโฆษณาชวนเชื่อที่ลอยฟุ้งอยู่ในอากาศและเต็มไปด้วยจินตนาการอันล่องลอยอย่างไร้เหตุผล ไร้ที่มาที่ไปเพื่อรองรับไม่ หรือเป็นการยอพระเกียรติพระมหากษัตริย์จนเกินไปอย่างไร้ข้อมูลสนับสนุน อาจารย์เอนกได้ทำงานอย่างหนักในการค้นคว้า สะสมข้อมูล ผ่านการอ่านและการเดินทางสำรวจอันนำไปสู่ข้อสรุปของหนังสือเป็นอย่างดี อาจารย์เอนกยังได้เดินทางไปบรรยายเรื่องพระมหากษัตริย์และความเป็นไทยตามคำเชิญของสถาบันต่างๆ มาแล้วในหลายต่อหลายที่ทั่วประเทศ
เป็นเวลาหลายเดือนก่อนที่จะมาเป็นหนังสือเล่มนี้ด้วย ดังนั้น เนื้อหาในหนังสือเล่มนี้เคยผ่านกลุ่มผู้ฟังที่หลากหลาย ผ่านการสนทนาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและข้อมูลกับกลุ่มผู้ฟังที่กว้างขวาง ทำให้เกิดการพัฒนาของงานและการค้นคว้าข้อมูลเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดเป็นเนื้อหาของหนังสือที่ดีที่สุด ดังนั้น หนังสือเล่มนี้เป็นผลผลิตอันเกิดจากการค้นคว้า สะสมองค์ความรู้และการคิดวิเคราะห์จนตกผลึกของผู้เขียนอันมีความสมบูรณ์
หนังสือเล่มนี้ตั้งอยู่บนเนื้อหาสำคัญสองเรื่อง ได้แก่ พระมหากษัตริย์/สถาบันพระมหากษัตริย์ และความเป็นไทย อันเป็นสิ่งที่อยู่ร่วมกับอย่างแนบแน่นและไม่สามารถพิจารณาแยกจากกันได้ตลอดระยะเวลาของประวัติศาสตร์ชาติไทย ๗๐๐-๘๐๐ ปี การดำเนินเรื่องของหนังสือเล่มนี้อยู่บนแกนของลักษณะเฉพาะของความเป็นไทย ๗ ประการ โดยในบทนำของหนังสือได้กล่าวปูพื้นถึงลักษณะและข้อมูลทางประวัติศาสตร์ของของพระมหากษัตริย์ไทย ความคิดทางการเมืองของไทยเกี่ยวกับพระมหากษัตริย์ ตลอดจนที่มาของความชอบธรรมของพระมหากษัตริย์ไทยจากประวัติศาสตร์ความคิดทางการเมืองไทย นอกจากนั้น ได้ปูพื้นเพื่อให้ผู้อ่านมองเป็นภาพของประวัติศาสตร์ชนชาติหรือชาติพันธุ์ไทยที่ตั้งถิ่นฐานอยู่ ณ ดินแดนแห่งนี้ อันเป็นชาติพันธุ์ไท ไต ลาว ซึ่งถือว่าเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ของภาษาและสายเลือดเดียวกัน และได้กล่าวถึงความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของพระมหากษัตริย์กับคนไทย
จากนั้น ได้เข้าสู่เนื้อหาหลักของหนังสือ ได้แก่ ลักษณะเฉพาะของ “ความเป็นไทย ๗ ประการ” โดยความเป็นไทยประการที่ ๑ คือ ไม่ยอมตกอยู่ใต้การปกครองของชนชาติอื่น กล่าวคือ คนไทยนั้นรักในอิสรภาพและเอกราช โดยพระมหากษัตริย์และบรรพบุรุษของไทยสามารถรักษาเอกราชและอิสรภาพของไทย ไม่ยอมตกอยู่ใต้การปกครองของชนชาติอื่นมายาวนานกว่า ๗๐๐-๘๐๐ ปี โดยแทบจะไม่สะดุด ยกเว้นเพียง
๒ ครั้ง ได้แก่ การเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่ ๑ ให้กับพม่า เป็นเวลา ๑๕ ปี ก่อนที่สมเด็จพระนเรศวรจะกู้บ้านกู้เมืองและประกาศเอกราชได้ และการเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่ ๒ สมัยพระเจ้าเอกทัศ ซึ่งกินระยะเวลาสั้นๆ เพียง ๗ เดือนเท่านั้น ก่อนที่พระเจ้าตากจะกู้บ้านกู้เมืองคืนได้ในเวลาอันรวดเร็ว ในข้อนี้เป็นความน่าภาคภูมิใจของไทย เพราะในโลกนี้มีเพียงไม่กี่ประเทศที่สามารถรักษาเอกราชของชาติไว้ได้อย่างยาวนานเพียงนี้ ไม่ว่าจะเป็นชาติที่ยิ่งใหญ่อย่างจีน อินเดีย สหรัฐอเมริกา รัสเซีย หรือฝรั่งเศส ต่างก็เคยตกเป็นเมืองขึ้นของชนชาติอื่นกว่าร้อยปี แต่สิ่งนี้กลับเป็นสิ่งที่คนไทยไม่ค่อยรู้สึก ไม่คำนึงถึงและภาคภูมิใจเสียเท่าไหร่นัก
ส่วนความเป็นไทยประการที่ ๒ คือ การสร้างชาติด้วยการผสมกลมกลืน ไม่ใช่การกำจัดชาติพันธุ์อื่น กล่าวคือ คนไทยเป็นนักปรองดอง นักผสมผสานกลมเกลียว รวมหลายเลือดเนื้อเป็นชาติเชื้อไทย การสร้างชาติไทยใช้การผสมกลมกลืนของหลายสายเลือด หลายเชื้อชาติ หลายวัฒนธรรมจนกลายเป็นไทย จึงทำให้ประเทศไทยไม่มีปัญหาเรื่องชนชาติส่วนน้อย เราไม่ปราบปรามชนชาติอื่นอย่างราบคาบ ไม่แบ่งแยกชาติพันธุ์ ชนกลุ่มน้อย แต่ใช้วิธีผสมกลมกลืน นอกจากนั้น ยังเป็นการรับเอาศาสนาและอารยธรรมของชนชาติอื่นๆ เข้ามาใช้หรือปรับใช้ด้วย ไทยมีความสามารถในการทำให้เชื้อชาติอื่นกลายเป็นไทยได้อย่างภาคภูมิใจผ่านการให้โอกาส มิใช่การกีดกันและปิดกั้นทางโอกาส เช่น การรับเข้ารับราชการ นี่เป็นสิ่งที่พิเศษของความเป็นไทย ซึ่งอาจารย์เอนกกล่าวว่าเรื่องนี้กลับกลายเป็นเรื่องปกติจนคนทั่วไปไม่ได้รู้สึกว่าพิเศษอะไร ทั้งนี้ ลักษณะการผสมกลมกลืนดังกล่าวมีตั้งแต่ระดับชาวบ้านสามัญชน ระดับขุนนาง ซึ่งในอดีตพระมหากษัตริย์ไทยได้ใช้ชาวต่างชาติในการเข้ารับราชการช่วยในการพัฒนาและบริหารประเทศ จนถึงระดับตระกูลของเจ้านายพระมหากษัตริย์ที่มีการผสมผสานหลากหลายชาติพันธุ์ เช่น ในราชวงศ์จักรีนี่เอง อาจารย์เอนกยังกล่าวว่า พระมหากษัตริย์ไทยไม่ได้ยึดถือไปกับแนวคิดชาตินิยม แต่ในทางกลับกันเป็นการยึดถือแนวคิดแบบจักรพรรดิราช เป็นแนวคิดของพระมหากษัตริย์ผู้ปกครองมีความภาคภูมิใจในการปกครองคนทุกชนชาติ ทุกภาษา ทุกศาสนา ทุกวัฒนธรรมภายใต้พระบรมโพธิสมภารของพระมหากษัตริย์องค์เดียวกันอย่างร่มเย็นเป็นสุข
ความเป็นไทยประการที่ ๓ คือ หากเราผสมกลมกลืนใครไม่ได้ เราก็สามารถอยู่กับเขาอย่างมีขันติธรรม กล่าวคือ มีความอดทนอดกลั้นต่อความแตกต่างระหว่างคนในมิติต่างๆ อาทิ ความแตกต่างทางศาสนา เมื่อเราไม่สามารถอยู่ด้วยกันอย่างผสมกลมกลืนได้ เราก็จะอยู่ร่วมกันได้อย่างสันติและให้เกียรติกัน แต่ละกลุ่มที่แตกต่างสามารถแสดงอัตลักษณ์ของตนเองได้ โดยที่ผ่านมา พระมหากษัตริย์ไทยเป็นผู้นำทางความคิดในข้อนี้ คือการให้ความเป็นธรรม ความเมตตาและความร่มเย็นกับพสกนิกรทุกหมู่เหล่าที่ต่างกันและรักษาความเป็นธรรมให้กับชนส่วนน้อย เช่น ชาวเขาเผ่าต่างๆ ทรงใช้หลักคิดของพระมหากษัตริย์ที่เป็นจักรพรรดิราช เป็นพระบรมโพธิสมภารของชนทุกชาติทุกภาษา ดังนั้น ประเทศไทยถึงไม่มีปัญหาที่เกิดจากความคิดเรื่องชาตินิยมที่รุนแรงเกินไป
ความเป็นไทยประการที่ ๔ คือ ความเป็นไทยที่ทันโลกและเป็นสากล ความเป็นไทยไม่ใช่สิ่งที่เชย โบราณหรือล้าหลัง แต่พระมหากษัตริย์และประชาชนไทยเป็นผู้ที่รู้ทันโลก เป็นโลกาภิวัตน์และไม่ปิดกั้นตัวเองเป็นเวลายาวนาน โดยเหตุผลที่สำคัญประการหนึ่ง ได้แก่ การที่พระมหากษัตริย์ทรงตัดสินพระทัยตั้งเมืองหลวงติดทะเลหรือใกล้ทะเลกว่า ๔๐๐ ปี แม้จะมีความเสี่ยงในเรื่องความปลอดภัยของประเทศ แต่การที่เมืองหลวงติดหรือใกล้ทะเลนำมาซึ่งความรู้ โอกาสในการรับรู้ข่าวสาร องค์ความรู้ อารยธรรม ศาสนา ศิลปะวิทยาการ ความก้าวหน้าของโลก ตลอดจนโอกาสในการแลกเปลี่ยนและการค้าขาย พระมหากษัตริย์ทรงเป็นพ่อค้าด้วย การที่เมืองหลวงติดหรือใกล้ทะเลทำให้ไทยปิดประเทศยากหรือไม่รับรู้เรื่องของโลกยาก รวมทั้งไม่ค้าขายกับต่างชาติยาก การที่พระมหากษัตริย์ไทยทรงมีวิสัยทัศน์ในการรู้ทันโลกและสถานการณ์โลกทำให้ประเทศไทยผ่านวิกฤตการณ์ต่างๆ ได้ อาทิ ในห้วงเวลาของการล่าอาณานิคมของชาติตะวันตก
ความเป็นไทยประการที่ ๕ คือ ไทยเป็นข้อยกเว้นของโลกตะวันออก(หรือเอเชีย) โดยไทยสามารถพัฒนา ปฏิรูป เปลี่ยนแปลง ซ่อมแซมประเทศได้เอง โดยไม่ต้องให้ชาติตะวันตกมาเปลี่ยนแปลงให้หรือทำให้ ประเทศไทยสามารถปรับตัวให้เข้ากับรูปแบบที่สมัยใหม่แบบยุโรปได้ทำให้ไทยไม่เสียเอกราชและไม่ต้องตกเป็นเมืองขึ้นของฝรั่ง ในขณะเดียวกัน ไทยก็ยังสามารถรักษาสถาบันเก่า ของเก่า ความคิดและวิธีการเก่าของเราไว้ได้และสามารถต่อยอดของใหม่ปนไปกับของเก่า เราเป็นชาติอนุรักษ์นิยมที่ไม่ใช่โบราณ ไม่ใช่ไม่เปลี่ยนแปลง แต่เราเปลี่ยนแปลงเพื่อที่จะรักษาของเดิมที่ดีเอาไว้ นอกจากนั้น การที่ไทยสามารถรักษาเอกราชไว้ได้อย่างยาวนาน ผ่านห้วงเวลาของลัทธิล่าอาณานิคม เป็นข้อยกเว้นของประเทศโลกตะวันออกอีกด้วย
ความเป็นไทยประการที่ ๖ คือ คนไทยขาดพระมหากษัตริย์ไม่ได้ ภายหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นแบบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ในปี พ.ศ. ๒๔๗๕ ดูเหมือนว่า ตามหลักทฤษฎีแล้ว ในยุคนี้ประเทศจะมีพระเจ้าอยู่หัวหรือไม่ก็ได้ แต่ในความเป็นจริง ตลอดระยะเวลา ๗๐-๘๐ ปีหลังเปลี่ยนแปลงการปกครอง ประเทศไทยใช้สองระบบสลับกัน ได้แก่ ระบบยึดอำนาจที่ปกครองด้วยทหารหรือคณะทหารกับระบบเลือกตั้งที่นำนักการเมืองเข้าปกครองประเทศ โดยระยะเวลาในการปกครองประเทศทั้งสองระบบเกือบจะเท่ากัน อาจารย์เอนกกล่าวว่า แท้จริงแล้ว คนไทยไม่ได้ภักดีต่อทั้งสองระบบนี้ แต่คนไทยจงรักภักดีกับสถาบันพระมหากษัตริย์ พระมหากษัตริย์ไทยต้องมีอยู่ตลอด การที่พระเจ้าอยู่หัวทรงอยู่เหนือระบอบการเมืองที่มีการเปลี่ยนแปลงและผันผวนตลอดเวลาด้วยสองระบบนี้จึงทำให้บ้านเมืองยังสามารถพัฒนาและเจริญก้าวหน้าได้ เห็นได้ชัดเจนจากรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ ๙ เป็นระยะเวลา ๗๐ ปี พระมหากษัตริย์เป็นความมั่นคงและความต่อเนื่องของประเทศ ทำให้ประเทศเดินหน้าต่อไปได้
ความเป็นไทยประการที่ ๗ คือ พระมหากษัตริย์กับประชาชนเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน การที่ประเทศไทยอยู่รอดมาได้ ๗๐๐-๘๐๐ ปี แม้ต้องผ่านเหตุการณ์ที่ยุ่งยากมากมาย เพราะพระมหากษัตริย์กับประชาชนเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน พึงพิงซึ่งกันและกัน เรียกว่า “ราชประชาสมาสัย” โดยพระมหากษัตริย์ทรงรักและดูแลประชาชน ส่วนประชาชนก็เคารพ เทิดทูนและกตัญญูต่อพระมหากษัตริย์ อาจารย์เอนกกล่าวว่า นี่เป็นทุนทางสังคมแบบไทยที่ไม่เหมือนใคร นอกจากนั้น สถาบันพระมหากษัตริย์ของไทยยังสามารถปรับตัวให้ทันโลก ทันต่อสถานการณ์ได้เป็นอย่างดี พระมหากษัตริย์ไทยเป็นผู้นำที่ดีและสามารถนำพาประเทศให้อยู่รอดได้
จากนั้น อาจารย์เอนกได้กล่าวถึงความพิเศษของสถาบันพระมหากษัตริย์ไทยในราชวงศ์จักรีใน ๔ ประการ ได้แก่ ประการแรก การสืบสันตติวงศ์และผลัดแผ่นดินโดยชอบธรรมและสันติตลอด ๑๐ รัชกาล ยาวนาน ๒๓๗ ปี โดยไม่มีการประหัตประหารกัน ซึ่งแตกต่างจากในยุคของกรุงศรีอยุธยาที่มีกษัตริย์ ๓๔ พระองค์ โดยมีการปราบดาภิเษกถึง ๑๓ พระองค์ ประการที่สอง ราชวงศ์จักรีได้สร้างสันติสุขแก่สยามประเทศยาวนานเกือบ ๒๐๐ ปี โดยไม่มีสงคราม หลีกเลี่ยงการเกิดสงครามและการสูญเสีย ซึ่งเป็นความพิเศษที่บรรพบุรุษไทยได้ทำไว้ ประการที่สาม การที่พระมหากษัตริย์ในราชวงศ์จักรีสามารถจัดการกับพม่าและเวียดนามได้ ทำให้ไม่อาจรุกล้ำและสร้างสงครามกับสยามจนทำให้เกิดความสูญเสียได้ นอกจากนั้น พระมหากษัตริย์ในราชวงศ์จักรียังสามารถทำให้สยามรักษาเอกราชและความเป็นชาติเอาไว้ได้ในยุคที่ฝรั่งเข้ามาในดินแดนแถบนี้ในห้วงเวลาของแผ่นดินรัชกาลที่สี่ถึงห้า และประการที่สี่ การที่ราชวงศ์จักรีสามารถนำพาประเทศให้รอดพ้นจากการตกเป็นเมืองขึ้นของตะวันตกด้วยพระปรีชาญาณและการพัฒนาประเทศ อีกทั้งยังกล้าใช้ชาวต่างชาติในการพัฒนาประเทศและพัฒนาราชการไทย
ในหนังสือเล่มนี้ยังได้ตีพิมพ์บันทึกความคิดของอาจารย์เอนกเป็นบทความผ่านเฟซบุ๊กไว้อีก ๔ เรื่อง ซึ่งเป็นการนำเสนอถึงข้อมูล ข้อเท็จจริงและการวิเคราะห์เกี่ยวกับกษัตริย์สยามและชนชั้นนำสยามเอาไว้ โดยเป็นบทความที่ช่วยขยายความให้ผู้อ่านได้ทราบข้อมูลและสร้างความเข้าใจที่ลึกซึ้งขึ้นเกี่ยวกับพระมหากษัตริย์และความเป็นไทยทั้ง ๗ ประการ
ในบทส่งท้ายของหนังสือ อาจารย์เอนกต้องการเน้นย้ำให้เห็นว่า ไทยเราเป็นชาติที่เก่าแก่และสามารถอนุรักษ์รักษาสถาบันดั้งเดิม ความคิดและวัฒนธรรมเดิมเอาไว้ได้อย่างมาก อีกทั้งยังสามารถรักษาเอกราชเอาไว้ได้ยาวนานอย่างน่าพิศวงด้วยพระปรีชาญาณของพระมหากษัตริย์และความสามารถของบรรพบุรุษอันเป็นลักษณะพิเศษของไทยซึ่งมีคุณค่ายิ่งกับประเทศในปัจจุบัน นอกจากนั้น อาจารย์เอนกยังสรุปว่า เราเป็นชาติอนุรักษ์นิยม (มิใช่ชาติจารีต) ซึ่งรักและหวงแหนของเก่าที่ดีงามของไทย แต่ก็พร้อมที่จะรับสิ่งใหม่ของโลกได้อย่างทันยุคทันสมัย ดังนั้น ไทยจึงเป็นชาติอนุรักษ์นิยมและเป็นชาติเสรีนิยมก้าวหน้า ทันโลกไปในขณะเดียวกัน ส่วนพระมหากษัตริย์ไทยทรงทันโลก ทันสมัยมาอย่างยาวนานกว่า ๖๐๐ ปี และยังนำพาประเทศให้ทันสมัยด้วย พระมหากษัตริย์ไทยยังทันต่อเหตุการณ์การเมืองโลก ดุจอำนาจของโลกและรู้ทันแนวโน้มความเป็นไปของโลกก่อนชาติอื่นๆ และอาจารย์เอนกยังได้เน้นย้ำถึงความสำคัญของ “ราชประชาสมาสัย” ได้แก่ พลังอันยิ่งใหญ่ซึ่งเกิดจากพระมหากษัตริย์และประชาชนไทยเป็นอันหนึ่งเดียวกัน เป็นลักษณะสำคัญของไทยที่หาได้ยากในประเทศอื่น อันจะนำพาประเทศฟันฝ่าวิกฤตต่างๆ ไปได้ ทั้งหมดนี้ทำให้ “ประเทศไทยไม่สามารถขาดสถาบันพระมหากษัตริย์ได้แม้แต่วันเดียว”
ดังที่ได้กล่าวในชื่อหัวข้อของบทความแล้วว่า เรื่องพระมหากษัตริย์กับความเป็นไทยเป็นบทสรุปทางความคิดอันตกผลึกของอาจารย์เอนก เหล่าธรรมทัศน์ ในวัย ๖๕ วัยแห่งวุฒิภาวะ เพราะอาจารย์เอนกได้มีความสนใจในการศึกษา ค้นคว้าและครุ่นคิดถึงความสำคัญ ความจำเป็นอย่างขาดไม่ได้และความชอบธรรมสูงสุดของสถาบันพระมหากษัตริย์ไทยมานานหลายปีแล้ว ไม่ใช่เพียงแค่ชั่วครู่ระยะเวลาไม่กี่เดือนนี้เท่านั้น ที่สืบค้นได้ก็ตั้งแต่การเขียนหนังสือเรื่อง “เพ่งประชาธิปไตยโลก พิศประชาธิปไตยไทย” ที่เผยแพร่เมื่อต้นปี พ.ศ.๒๕๕๙ ซึ่งได้นำเสนอในตอนหนึ่งว่า ที่ผ่านมา ความชอบธรรมเชิงระบอบเพียงระบอบเดียวที่คนไทยยึดถือนั้นคือความชอบธรรมที่มอบให้แด่ราชาธิปไตย และจากนั้นก็เห็นได้ชัดเจนถึงความคิดในเรื่องสถาบันพระมหากษัตริย์ของอาจารย์เอนกนับตั้งแต่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ ๙ เสด็จสวรรคต เมื่อวันที่ ๑๓ ตุลาคม ๒๕๕๙ อาจารย์เอนกมีการครุ่นคิดและความสนใจในเรื่องของสถาบันพระมหากษัตริย์ ซึ่งไม่ใช่เพียงแต่รัชกาลที่ ๙ และรัชกาลปัจจุบันเท่านั้น แต่ได้สนใจและศึกษาเรื่องสถาบันพระมหากษัตริย์ย้อนไปกว่า ๘๐๐ ปีของประวัติศาสตร์ไทย โดยในระยะแรกหลังการเสด็จสวรรคต อาจารย์เอนกได้เผยแพร่ความคิดผ่านข้อเขียนสู่สาธารณชนผ่านเฟซบุ๊กเพจ การพูดในที่สาธารณะ การให้สัมภาษณ์ในสื่อต่างๆ เรื่อยมาจนกระทั่งเป็นส่วนหนึ่งของเนื้อหาในหนังสือชื่อ “เอนกทรรศน์” ในปี พ.ศ.๒๕๖๐ การตีพิมพ์หนังสือเรื่อง “ราชาธิปไตย” ในปี พ.ศ.๒๕๖๑ และจนถึงหนังสือเรื่อง “พระมหากษัตริย์กับความเป็นไทย” ในต้นปี พ.ศ.๒๕๖๒ นี้
ดังนั้น ความคิดและสารที่อาจารย์เอนกต้องการสื่อออกไปสู่ผู้อ่านและคนไทยทุกคน ทุกกลุ่ม คือ
“สถาบันพระมหากษัตริย์มีความจำเป็นอย่างขาดมิได้ เป็นหน้าที่คนไทยต้องปกป้อง รักษาและหวงแหนสถาบันดั้งเดิมนี้ไว้ ในการสร้างประชาธิปไตยของไทยต้องตระหนักและเข้าใจด้วยว่า ราชาธิปไตยสำคัญไม่น้อยไปกว่าประชาธิปไตย ระบอบประชาธิปไตยของไทยจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องอยู่เคียงคู่และพึ่งพิงไปกับระบอบราชาธิปไตยอย่างเหมาะสม เพื่อประคับประคองการเมืองไทยให้สามารถดำรงอยู่ได้อย่างมั่นคง”
นี่เป็นความคิดอันตกผลึกในวัยแห่งวุฒิภาวะของอาจารย์เอนก หลังจากที่นักรัฐศาสตร์ผู้นี้ได้ศึกษาและมีประสบการณ์ตรงในทางการเมืองอย่างยาวนานเกือบ ๕๐ ปี ผ่านประวัติศาสตร์ทางการเมืองอันผันผวนของไทยหลายยุค หลายสมัย จนล่วงเลยถึงวัย ๖๕ นี้
สุดท้าย ผู้เขียนขอสรุปไว้เพื่อเป็นทางเลือกให้กับผู้อ่านว่า หนังสือเล่มนี้เป็นผลงานที่เหมาะสำหรับคนไทยทุกคนซึ่งควรได้อ่าน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผู้ที่สนใจเรื่องบ้านเมืองและกำลังคิดไตร่ตรองถึงอนาคตความเป็นไปของชาติบ้านเมือง
• AUTHOR |
|
![]() ![]() |
นิสิตปริญญาเอก คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย |